Friday, 31 March 2023

Netflix ตลกร้ายสร้างซีรี่ย์จิกกัดอดีตร้านเช่าวีดีโอชื่อดังอย่าง Blockbuster

 

ในวันพรุ่ง (3 เดือนพฤศจิกายน) Netflix กำลังจะมีซีรีส์เข้าใหม่ชื่อ Blockbuster เป็นซีรีส์ขำขันเกี่ยวกับร้านเช่าหนัง Blockbuster ร้านสุดท้ายในอเมริกา ที่ผู้จัดการร้านทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประคับประคองให้ร้านอยู่รอดถัดไปได้ สร้างขึ้นมาจากจากทีมผู้สร้างซิทคอมดัง Brooklyn Nine-Nine

และปัจจุบันพวกเราก็ได้ไปพบมาว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้แปลงเป็นกระแสบนกระดานข่าว Reddit แต่ว่าไม่ใช่กระแสว่าตัวซีรีส์น่าดูอะไรปกติแบบนั้น

ซีรีส์เข้าใหม่

แต่ว่าเป็นกระแสที่หลายคนออกมาเห็นเหมือนกันว่าNetflix นี่โหดจริงๆเนื่องจาก Netflix นี่แหละเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร้าน Blockbuster เจ๊ง!!

ร้าน Blockbuster เนี่ย เป็นแฟรนไชส์ร้านเช่าหนังที่เคยโด่งดังมากๆในอเมริกาสมัย 90s

จนถึงไปถึงต้นสมัย 2000s กล่าวได้ว่ามีอยู่เกือบจะทั่วทั้งประเทศ และได้ขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆอีกจนถึงมีสาขารวมกว่า 9,000 สาขาทั่วทั้งโลกในปี 2004

ตลกร้ายสร้างซีรี่ย์

ก่อนที่ช่วงจะเปลี่ยนไป Netflix ที่เป็นสตรีมมิ่งดังเจ้าแรกได้เกิดขึ้นมา ทำให้ความนิยมของร้าน Blockbuster

ถดถอยลงเรื่อยจนถึงบริษัทยื่นล้มละลายในปี 2010 และก็ทยอยปิดสาขาลงเรื่อยๆ

จนถึงเดี๋ยวนี้ร้าน Blockbuster มีเหลืออยู่เพียงสาขาเดียวเท่านั้นที่เมือง Bend รัฐโอเรกอน อเมริกา

หัวข้อบน Reddit ที่ได้ชูประเด็นนี้มาบอกนั้นก็กำลังเป็นไวรัลอย่างแรงในขณะนี้ โดยมีคนกดอัปโหวตหัวข้อสูงถึงกว่า 77,000 ครั้งแล้ว และมีชาวเน็ตมาคอมเมนต์กันมากมายก่ายกอง ดังเช่นว่า

“นี่มันเหมือนฆ่าคนเสร็จแล้วขี้บนศพซ้ำเลย”

“ตอนที่ Blockbuster ตัดสินใจไม่ซื้อกิจการNetflix พวกเขาคงไม่คิดว่าอนาคตมันจะออกมาแบบนี้”

“เดี๋ยวอนาคตคงมีซีรีส์เรื่องNetflix บน Disney+” แล้วก็มีคนคอมเมนต์ต่อว่า “ซีรีส์ Disney+ เร็วๆ นี้บน Prime Video”

นอกจากกระทู้บน Reddit แล้ว คอมเมนต์ของตัวอย่างซีรีส์เรื่องนี้ก็พูดถึงประเด็นเดียวกัน เช่น

“นี่มันเหมือนNetflix เอามีดจ้วงใส่ Blockbuster ชัดๆ”

“ลองนึกถึงการเป็นNetflix ที่ถูก Blockbuster หัวเราะเยาะใส่ตอนนั้น แล้วอีก 15 ปีต่อมาก็ได้สร้างซีรีส์ร้านสุดท้ายของบริษัทที่หัวเราะเยาะใส่เมื่อ 15 ปีก่อน”

“ผมจะรักเลยถ้าเรื่องนี้จะมีแค่ซีซั่นเดียวแล้วจะถูกแคนเซิล เพราะนั่นจะทำให้Netflix ได้แคนเซิล Blockbuster ถึงสองครั้ง”

ขอบคุณที่มา CatDumb