Monday, 27 March 2023

ศาลอิหร่านสั่งประหารชีวิตผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงเป็นรายแรก

ศาล อิหร่าน ตัดสินประหารชีวิต บุคคลรายหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประท้วงรุนแรงและไม่จบสิ้น นับเป็นผู้ประท้วงรายแรกที่โดนตัดสินโทษประหาร นอกเหนือจากนั้นศาลยังตัดสินจำคุกผู้ประท้วงอีก 5 ราย

เมื่อวันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน 2565 สำนักข่าวอัลจาซีราห์ รายงานว่า ศาลปฏิวัติในกรุงเตหะราน ของอิหร่าน ตัดสินว่า จำเลยรายหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยนาม มีความผิดในข้อกล่าวหา “เป็นปรปักษ์ต่อพระเป็นเจ้า” และ “เผยแพร่การคดโกงฉ้อฉลบนโลก” เกี่ยวเนื่องกับเหตุประท้วงโกลาหลจุดไฟเผาศูนย์ราชการ และทำลายความสงบสุขของสาธารณะ ก่ออาชญากรรมต่อต้านความมั่นคงของชาติ จะต้องรับโทษประหารชีวิต โดยเขาเป็นผู้ประท้วงรายแรกที่ถูกจับกุมตัวฟ้องและได้รับโทษประหารชีวิต นับตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงร้ายแรงที่อิหร่าน เมื่อก.ย.ที่ผ่านมา

ด้านสำนักข่าว IRNA ของอิหร่านรายงานว่า มีผู้ประท้วงอีก 5 รายโดนตัดสินจำคุกระหว่าง 5-10 ปี ในข้อหา ทำลายความสงบสุขของสาธารณะ ก่ออาชญากรรมต่อต้านความมั่นคงของชาติ โดยคำตัดสินของศาลนับว่าเป็นในขั้นต้นและทนายจำเลยสามารถขออุทธรณ์ได้

ทั้งนี้ สถานการณ์ในอิหร่านยังคงวุ่นวายจากการประท้วงในหลายเมืองทั่วทั้งประเทศที่ดำเนินมาเป็นเวลานานยาวนานหลายสัปดาห์ หลังการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของมาห์ชา อามีนิ หญิงสาวเชื้อสายเคอร์ดิช วัย 22 ปีภายใต้การควบคุมตัวของตำรวจ เมื่อก.ย.2565 ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงเชื่อว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกทรมาน ปองร้ายในคุก.

ประท้วง อิหร่าน สั่งประหารชีวิต

ศาลอิหร่าน ตัดสินประหารชีวิตเป็นรายแรก ผู้เข้าร่วม อิหร่าน ต้านรัฐ

วันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน บีบีซี รายงานว่า สื่อทางการอิหร่านแจ้งข่าวว่า ศาลอิหร่าน ตัดสินคดีประหารชีวิตผู้ถูกจับกุมฐานเข้าร่วมในการประท้วงที่ขยายไปทั่วทั้งประเทศ โดยศาลปฏิรูปในกรุงเตะหรานพบว่า จำเลยที่ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ ก่อไฟเผาที่กระทำการรัฐบาล และมีความผิดเป็นปฏิบัติต่อพระผู้เป็นเจ้า

ขณะกรุ๊ปสิทธิมนุษยชนอิหร่าน (Iran Human Rights) เตือนว่า ทางการอิหร่านอาจวางแผนประหารชีวิตอย่างรีบ โดยอ้างรายงานทางการว่า มีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหาที่สามารถได้รับโทษตายได้อย่างน้อย 20 คน

นายมาห์มูด อามีรี-โมกัดดัม ผู้อำนวยการกลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่าน เรียกร้องให้ชุมชนระหว่างประเทศปฏิบัติการเร่งด่วนและเตือนอิหร่านอย่างแข็งขันถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในการประหารชีวิตกลุ่มผู้ประท้วง

ทั้งนี้ การประท้วงเกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน หลังการเสียชีวิตของหญิงสาวรายหนึ่งขณะถูกตำรวจศีลธรรมคุมตัวเพราะเหตุว่าฝ่าฝืนกฎหมายการสวมฮิญาบที่เคร่ง มีรายงานการประท้วง 140 เมืองทั่วทั้งประเทศ

กรุ๊ปสิทธิมนุษยชนอิหร่านบอกว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 326 ราย (ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 43 ราย และผู้หญิง 25 ราย) จากการปราบปรามอย่างรุนแรงโดยกองกำลังรักษาความมั่นคง

ส่วนสำนักข่าวนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน (Human Rights Activists News Agency – HRANA) ที่อยู่นอกอิหร่านเช่นกัน รายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 339 ราย และกรุ๊ปผู้ประท้วงอีก 15,300 คน ถูกควบคุมตัว และเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงเสียชีวิต 39 นาย

ด้านชนชั้นนำของอิหร่านวาดภาพการประท้วงว่าเป็น “จลาจล” ที่ศัตรูต่างชาติของประเทศยุยง ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายโกลัมฮุสเซน โมห์เซนี เอเจย์ หัวหน้าศาลยุติธรรม ประกาศว่า ควรระบุตัวผู้ทำผิดคนสำคัญให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และพิพากษาโทษที่จะมีผลยับยั้งชั่งใจคนอื่นได้

นายเอเจย์เตือนว่า ผู้ก่อความวุ่นวายอาจถูกตั้งข้อกล่าวหา “โมฮาเรเบห์” (เป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้า), “เอฟซาด ฟิล-อาร์ซ” (ทุจริตบนโลก) และ “เบกี” (กบฏติดอาวุธ) ทั้งหมดนี้มีโทษประหารชีวิตในระบบข้อบังคับตามชารีอะห์ของอิหร่าน

หัวหน้าศาลยุติธรรมกล่าวอีกว่า ผู้ครอบครองและใช้อาวุธหรืออาวุธปืน ก่อกวนความมั่นคงของชาติ หรือฆ่าคนใดกันแน่ อาจได้รับ “กีซาซ” (การตอบโต้ในรูปแบบเดียวกัน) เป็นการตอบตอบสนองต่อการเรียกร้องความยุติธรรมด้วยการลงโทษจากสมาชิกรัฐสภาอิหร่าน 272 คนจากทั้งหมด 290 คน

สื่อแคว้นอ้างเจ้าหน้าที่ศาล มีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหามากกว่า 2,000 คนจากการมีส่วนร่วมในจลาจลครั้งล่าสุด ในจำนวนนี้ 164 คนอยู่ในจังหวัดฮอร์มอซกัน ทางด้านใตน อีก 276 คนอยู่ในจังหวัดมาร์กาซี ตอนกลาง และ 316 คนอยู่ในจังหวัดอิสฟาฮันที่อยู่ใกล้เคียง

ประท้วง อิหร่าน ผู้ต้องหา

ศาลอิหร่านมีคำตัดสินประหารชีวิตผู้ประท้วงรายหนึ่งซึ่งจุดไฟเผาสถานที่ราชการ ในการประท้วงเรียกร้องความยุติธรรให้ “มาห์ซา อามินี”

นับตั้งแต่เรื่องที่ “มาห์ซา อามินี” หญิงชาวเคิร์ด-อิหร่านวัย 22 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กันยายน ข้างหลังถูก “ตำรวจศีลธรรม” จับกุมตัว เพราะเหตุว่าไม่สวมฮิญาบคลุมผมและสวมชุดที่เปิดเผยท่อนแขนและขา ก็เกิดเหตุประท้วงร้ายแรงอย่างสม่ำเสมอในอิหร่าน

จนรัฐบาลตัดสินใจใช้ไม้แข็ง ด้วยการลงมติผ่าน “กฎหมายประหารชีวิตผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อเมือง” ซึ่งหมายความรวมทั้งเหล่าผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้องให้กับอามินีด้วยความโกรธ

และล่าสุดสื่อท้องถิ่นอิหร่านรายงานว่า ศาลอิหร่านได้มีคำตัดสินประหารชีวิตผู้ประท้วงรายหนึ่งโดยไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งก่อไฟเผาสถานที่ราชการในระหว่างการประท้วง จากความผิด ฐาน “ก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการสมรู้ร่วมคิดกันก่ออาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ ก่อสงครามและความชั่วร้ายบนโลก ก่อสงครามผ่านการลอบวางเพลิง และเจตนาทำลายล้าง”

นอกเหนือจากนั้น ยังมีผู้ประท้วงอีก 5 คนถูกจำคุก 5-10 ปี ภายใต้ข้อหาก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการสมรู้ร่วมคิดกันก่ออาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ

ตลอดเวลาแทบ 2 เดือนที่ผ่านมาที่เกิดเหตุประท้วง ทางการอิหร่านได้ตั้งใจกำจัดผู้ประท้วงด้วยความร้ายแรง โดยจับกุมตัวและฟ้องกับผู้ประท้วงแล้วอย่างน้อย 1,000 คน และฆ่าผู้ประท้วงไปแล้วถึง 326 ราย ทำให้นี่เป็นหนึ่งในการประท้วงที่นองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งของอิหร่าน

องค์การสหประชาชาติ หรือองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการอิหร่าน “หยุดการใช้โทษประหารกับผู้ที่เข้าร่วมหรือถูกกล่าวร้ายว่ามีส่วนร่วมในการประชุมอย่างสันติ” และ “หยุดใช้โทษประหารเป็นครื่องมือในการกำจัดการประท้วง”